บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

ปัจจัยภายในที่กำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย


ปัจจัยภายในประเทศของไทยที่เป็นตัวกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยมีหลายประการได้แก่
1.ศักยภาพของรัฐ

ศักยภาพของรัฐหมายถึงอำนาจและความสามารถของรัฐที่จะดำเนินการใดๆตามนโยบายเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ สำหรับประเทศไทยนั้น ศักยภาพของรัฐประกอบด้วย

1.1 สภาพภูมิศาสตร์ของไทย
การที่อาณาจักรไทยตั้งอยู่ใจกลางแหลมสุวรรณภูมิและติดต่อกับอาณาจักรที่อ่อนแอกว่าอย่างล้านนาด้านเหนือ ล้านช้างด้านตะวันออกเฉียงเหนือ กัมพูชาด้านตะวันออก มอญด้านตะวันตก และมลายูด้านใต้ มำให้ไทยมีศักยภาพสูงในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ แต่เมื่อใดที่อาณาจักรพม่าและอาณาจักรญวนเข้มแข็งและขยายอำนาจเข้ามาครอบครองอาณาจักรเหล่านี้จนมีอิทธิพลประชิดดินแดนอาณาจักรไทย ความมั่นคงของอาณาจักรไทยก็ถูกคุกคาม

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แนวคิดเกี่ยวกับภูมิศาสตร์มีความสำคัญอย่างมากต่อการศึกษาการเมืองระหว่างประเทศ นักภูมิรัฐศาสตร์ในสมัยนั้นเชื่อว่าที่ตั้ง ขนาด รูปร่าง ลักษณะ และ ทรัพยากรธรรมชาติชองรัฐ เป็นปัจจัยสำคัญต่อความเป็นมหาอำนาจของรัฐ ประเทศต่างๆจึงมุ่งดำเนินนโยบายสร้างความยิ่งใหญ่โดยทำสงครามขยายดินแดน ดังเช่นนโยบายต่างประเทศของจอมพล ป. พิบูลสงครามที่จะสร้างให้ไทยเป็นมหาอำนาจ โดยขยายดินแดนรวมชนเผ่าไทยทั้งหลายที่อาศัยอยู่รอบๆราชอาณาจักรทั้งในลาว พม่า กัมพูชา และมลายู เป็นต้น

ในปัจจุบันสภาพภูมิศาสตร์ของไทยมีที่ตั้ง อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีขนาดของรัฐ 514,000 ตารางกิโลเมตร มีรูปร่างยาวเป็นผืนแผ่นเดียวกันทั้งประเทศ มีลักษณะภูมิประเทศ ภาคเหนือเป็นเทือกเขาสลับกับแอ่งหุบเขา  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ราบสูง  ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่ม ภาคตะวันออกเป็นทิวเขาสลับเนินเขา ภาคตะวันตกเป็นเขาสูง ภาคใต้มีเขาสูงเป็นแกนกลางลาดลงสู่ชายฝั่งตะวันตกและชายฝั่งตะวันออก

1.2 ทรัพยากรธรรมชาติ
ในปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ดังนั้นทรัพยากรการเกษตรจึงสำคัญที่สุด  ซึ่งได้แก่ ข้าว ยางพารา ไม้สัก มันสัมปะหลัง ข้าวโพด อ้อย น้ำมันปาล์ม ผลไม้ต่างๆ ปศุสัตว์ ไก่ และอาหารทะเล ทรัพยากรแร่ธาตที่สำคัญคือดีบุกซึ่งเหลือน้อยแล้ว ส่วนทรัพยากรเชื้อเพลิงก็มีก๊าซธรรมชาติซึ่งน้อยมาก ไทยจึงหวังพึงทรัพยากรธรรมชาติเพื่อสร้างศักยภาพของชาติได้อีกไม่นานนัก ต้องแสวงหาสิ่งอื่นมาทดแทนเพื่อประกันความมั่นคงและส่งเสริมความสามารถในการพัฒนาประเทศ อาทิ อุตสาหกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่ทางเกษตรตกรรม และธุรกิจบริการ เป็นต้น

1.3 ทรัพยากรมนุษย์
คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นปกครองหรือประชาชนทั่วไป ในสมัยโบราณไพร่เป็นแรงงานหลักของประเทศ การสร้างบ้านแปงเมือง การทำการเกษตร การทำศึกสงคราม ต้องอาศัยไพร่ป็นสำคัญ ถ้ามีประชากรมากก็จะมีผลผลิตด้านการเกษตรมากและมีกำลังรบมาก ดังนั้นการแผ่ขยายอำนาจสร้างอาณาจักรใหญ่โตจึงเป็นนโยบายสำคัญในการได้กำลังคน เมื่อได้ชัยชนะในสงครามก็สามารถกวาดต้อนเชลยมาเป็นทาสใช้แรงงาน และในยามศึกก็สามารถสั่งการให้ประเทศราขส่งกำลังมาช่วยรบ นอกจากนั้นยังมีการส่งเสริมให้ชนต่างชาติอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในราชอาณาจักรเพื่อเพิ่มพลเมืองด้วย

ในปัจจุบันจำนวนประชากรไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพของประชากร ในระบอบประชาธิปไตยในประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มีส่วนร่วมในการปกครองและตัดสินใจในกิจการของชาติ  มีบทบาทในการพัฒนาประเทศ มีศิลปวิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆที่ต้องเรียนรู้ ดังนั้นประชากรไทยที่มีคุณภาพและมีการศึกษาดีจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย

2.ศักยภาพของรัฐบาล
อำนาจหรือความสามารถของรัฐบาลในการดำเนินงานบริหารประเทศมีความสำคัญยิ่งต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศ ซึ่งองค์ประกอบของรัฐบาลที่สำคัญได้แก่

2.1 ผู้นำรัฐบาล ตำแหน่งหน้าที่ของผู้นำในสมัยราชาธิปไตยนั้น ฐานะของพระมหากษัตริย์ทรงเป็นทั้งประมุขของประเทศและหัวหน้ารัฐบาล ทำให้มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบายต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว ต่อมาในสมัยเผด็จการทหารหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อำนาจเด็ดขาดก็อยู่ในมือของนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าคณะรัฐประหาร แต่ในระบอบประชาธิปไตยนั้น การดำเนินการมักรับฟังเสียงของประชาชน มีการปรึกษาหารือในคณะรัฐมนตรีและนำเสนอต่อรัฐสภา

บุคลิกภาพของผู้นำก็มีผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศเช่นกัน เช่น บุคลิกที่แข็งกร้าวของนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารทำให้รัฐบาลแข็งกร้าวไปด้วย เช่นในสมัยของจอพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไทยและสหรัฐอเมริกาเพียง 2 ประเทศที่เสนอองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียอาคเนย์(ส.ป.อ.) ให้ส่งทหารเข้าแทรกแซงลาวโดยตรงในการต่อสู่กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ใน พ.ศ. 2503 แต่ประเทศสมาชิกอื่นๆที่เหลือคัดค้าน เพราะไม่ต้องการให้ลาวกลายเป็นสมรภูมิที่รุนแรงเหมือนเวียดนาม เป็นต้น
ภูมิหลังและประสบการณ์ของผู้นำรัฐบาลก็มีผลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศเช่นกัน เช่นการที่นายอานันท์ ปันยารชุนเคยดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศและเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกามาก่อน ทำให้มีความชำนาญในเรื่องการต่างประเทศ เมื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ แม้จะเป็นผู้นำของรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารโดยทหาร ซึ่งช่วยให้ประเทศไทยยังมีเกียรติภูมิและติดต่อกับประเทศที่ต่อต้านระบบเผด็จการได้ เป็นต้น

2.2 รัฐบาล โครงสร้างของรัฐบาลที่ประกอบด้วยบุคคลต่างๆก็มีส่วนในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ เช่น รัฐบาลทหารสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรีที่มาจากนายทหารและอดีตนายทหารมากมาย ดังนั้นนโยบายต่างประเทศจึงเน้นหนักในด้านการทหารและความมั่นคงและเอาทหารนำการเมือง ส่วนรัฐบาลสมัยนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชิตวัตรนั้น คณะรัฐมนตรีเกือบทั้งหมดเป็นนักธุรกิจจึงทำให้นโยบายต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นเรื่องด้านเศรษฐกิจและการค้า การร่วมมือกับต่างประเทศด้านความมั่นคงก็เพื่อสร้างลู่ทางด้านการค้า นั่นคือเศรษฐกิจนำการเมืองและการทหาร

3.การเมืองภายในประเทศ

การเมืองภายในประเทศที่มีต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยมี 2 ประเด็นสำคัญ คือ
3.1 ระบบการเมือง ในสมัยที่ไทยมีระบบการเมืองเป็นแบบเผด็จการ นโยบายต่างประเทศก็มักจะแข็งกร้าวและเป็นการเผชิญหน้ากับต่างประเทศ เช่น รัฐบาลทหารตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์  มาจนถึงจอมพลถนอม กิตติขจร ต่างก็มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเต็มที่ มองสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆเป็นศัตรู ไม่ยอมติดต่อสัมพันธ์ด้วย แต่สมัยที่เป็นประชาธิปไตย เช่น รัฐบาลพลเรือนของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายชวน หลีกภัย พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นโยบายต่างประเทศจะยืดหยุ่น มุ่งสร้างมิตรภาพและความปรองดองกับทุกประเททศ ไม่ว่าจะมีระบบการเมืองแบบใด โดยมุ่งส่งเสริมผลประโยชน์แห่งชาติ ความมั่นคงและสันติภาพระหว่างประเทศเป็นสำคัญ

3.2 สถานการณ์การเมือง บรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศของไทยมีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2457 ได้เกิดสงครามครามโลกครั้งที่ 1 พระองค์ทรงได้รับการศึกษามาจากอังกฤษ พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ก่อนๆก็ทรงใกล้ชิดกับอังกฤษ รัฐบาลไทยจึงน่าจะเข้าสงครามโดยเข้าข้างฝ่ายพันธมิตรที่มีอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นผู้นำ แต่บรรยากาศภายในประเทศขณะนั้น ประชาชนเกลียดชังอังกฤษและฝรั่งเศสมากที่ได้ยึดครองดินแดนประเทศราชของไทยไป และเอารัดเอาเปรียบไทยด้านการภาษีกับเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางการศาล ส่วนเยอรมนีไม่เคยทำความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ไทย บริษัทเยอรมนีเข้ามาสร้างทางรถไฟสายเหนือและสิ่งสาธารณูปโภคต่างๆให้ไทย สินค้าอุตสาหกรรมเยอรมันส่งมาจำหน่ายในไทยมากมาย มีคุณภาพดีเป็นที่ชื่นชอบของคนไทย ประชาชนจึงชื่นชมเยอรมนีที่ทำสงครามกับอังกฤษและฝรั่งเศส ทั้งยังเอาใจช่วยให้เยอรมนีชนะสงคราม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องมีนโยบายต่างประเทศเป็นกลางไปจนกระทั่งปลายสงครามใน พ.ศ. 2461 เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามเป็นฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศส และเยอรมนีมีทีท่าจะแพ้สงครามแน่นอนแล้ว จึงทรงประกาศสงครามกับเยอรมนี

4.เศรษฐกิจภายในประเทศ

เศรษฐกิจภายในประเทศที่มีผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยมี 2 ประเด็นสำคัญ คือ
4.1 ระบบเศรษฐกิจ ในสมัยโบราณระบบเศรษฐกิจของไทยเป็นแบบผูกขาดโดยพระคลังสินค้า ทางราชการมีอำนาจสิทธิขาดแต่ผู้เดียวในการวางระเบียบการค้าและภาษี นับตั้งแต่ทำสนธิสัญญาเบาริงกับอังกฤษใน พ.ศ. 2398 ระบบเศรษฐกิจของไทยเป็นแบบทุนนิยมเสรี ซึ่งทำให้มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง  ต่อมาในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามซึ่งมีนโยบายชาตินิยม ได้มีการส่งเสริมการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจมากมาย แต่เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ขึ้นสู่อำนาจใน พ.ศ. 2500 ก็ได้กลับไปใช้ระบบทุนเสรีที่ส่งเสริมการประกอบการและการลงทุนโดยเอกชนอย่างเต็มที่ ตามความต้องการของสหรัฐอเมริกา  รัฐบาลได้ประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ระหว่าง พ.ศ. 2504-2509 เพื่อกำนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศรองรับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจมามาย นโยบายดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศทุนนิยมในค่ายโลกเสรีขยายตัวมากขึ้นในช่วงสงครามเย็น ในขณะเดียวกันก็มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจน้อยมากกับกลุ่มประเทศสังคมนิยม

4.2 สถานการณ์เศรษฐกิจ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยอยู่ในฐานะผู้แพ้สงครามเพราะเป็นฝ่ายอักษะ  ฐานะทางเศรษฐกิจยังล้าหลังเหมือนประเทศด้อยพัฒนาทั่วไป ในขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาได้ยื่นมือเข้ามาช่วยพัฒนาเศรษฐกิจแก่ประเทศต่างๆเพื่อส่งเสริมระบบทุนนิยมไว้ต่อต้านและสกัดกั้นการขยายตัวของฝ่ายคอมมิวนิสต์  ไทยจึงยินดีรับความช่วยเหลือและเริ่มมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาตั้งแต่นั้นมา

สหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือไทยในด้านเกษตร คมนาคม สาธารณสุข การศึกษา ด้านเทคโนโลยี คลอดจนการทหาร โดยผ่านทางข้อตกลงต่างๆ ความช่วยเหลือมีทั้งในรูปของเงินให้เปล่า เงินกู้ การส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยฝึกอบรมและพัฒนาเทคโนโลยี  บรรยากาศที่ดีทางเศรษฐกิจของไทย ได้ดึงดูดให้ประเทศต่างๆมาติดต่อการค้าและการลงทุนในประเทศไทยนับตั้งแต่การมีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดเสรี การมีข้อระเบียบทางการค้าที่เอื้ออำนวย การมีโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสาธารณูปโภคที่ดี การมีแหล่งวัตถุกดิบ แรงงาน และประเทศพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ทำให้รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นจนมีกำลังซื้อสูง หลังยุคการพึ่งพาสหรัฐอเมริกาทางเศรษฐกิจของไทยแล้ว  ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับไทยมากขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง  ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงที่สุดในทศวรรษ 2350 คือ กว่าร้อยละ 50 ของการลงทุนจากต่างประเทศ และมูลค่าสินค้าเข้าจากญี่ปุ่นก็มากที่สุด ส่วนตลาดสินค้าออกที่ใหญ่ที่สุดของไทยคือสหรัฐอเมริกา

5.สังคมภายในประเทศ

สังคมภายในประเทศที่มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยมี  2 ประเด็นสำคัญ คือ

5.1 ระบบสังคม แม้สังคมไทยจะเป็นสังคมที่ปิดกั้นทางการเมือง คือเป็นสังคมที่แบ่งชนชั้นและกีดกันสิทธิเสรีภาพของคนมาตั้งแต่สมัยโบราณ  แต่สังคมไทยเป็นสังคมเปิดในลักษณะที่เป็นพหุนิยมทางสังคม คือมีการยอมรับความหลากหลายทางเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม และศาสนาของพลเมือง
ในสมัยปัจจุบันระบบพหุนิยมทางสังคมของไทยก็ยังเหมือนในอดีต ทำให้ชาวต่างประเทศมีความรู้สึกที่ดีต่อสังคมไทยและคนไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนไทยเป็นจำนวนมากเพราะชื่นชอบในอัธยาศัยไมตรีของคนไทย และการแลกเปลี่ยนความร่วมมือทางวัฒนธรรมและวิชาการจึงเป็นไปอย่างกว้างขวาง อันขยายผลไปถึงความสัมพันธ์อันดีทางการเมืองและเศรษฐกิจด้วย

5.2 บรรยากาศทางสังคม คนไทยโดยทั่วไปไม่มีความเกลียดชังชาวญี่ปุ่นเหมือนกับชาวเอเชียอื่นๆ เช่น จีน เกาหลี ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยเข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะจึงไม่ถูกรุกราน กดขี่ ทำลายล้างโดยกองทัพญี่ปุ่น ความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อญี่ปุ่นกลับเป็นไปในด้านดี เช่น ยกย่องความสามารถด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่น เป็นต้น


คนไทยส่วนใหญ่ นับตั้งแต่ชนชั้นปกครองลงมาจนถึงประชาชนทัวไป มักนิยมชมชอบสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ทั้งนี้เนื่องจากที่ปรึกษาราชการแผ่นดินชาวอเมริกันหลายคนได้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยไว้มาก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาก็ไม่ถือว่าไทยเป็นศัตรูผู้แพ้สงครามและไม่รับรู้การประกาศสงครามที่ไทยได้ทำกับสหรัฐอเมริกา แต่กลับมาช่วยไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นเมื่อเกิดสงครามเวียดนามแล้วสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาตั้งฐานทัพในไทย คนไทยส่วนใหญ่จึงไม่รังเกียจและทหารสหรัฐอเมริกาสามารถปฏิบัติงานได้อย่างไม่มีข้อขัดแย้งตลอดสงคราม จนกะทั่งมีการเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาถอนทัพออกไปใน พ.ศ. 2518 เมื่อสถานการณ์ในอินโดจีนเปลี่ยแปลงไป
จัดทำโดย พระ จันทร์ธู แปต/ อุทฺธํธมฺโม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น