ในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของรัฐต่างๆนั้น
ในทางปฏิบัติผู้กำหนดหรือตัดสินนโยบายต่างประเทศจะต้องพิจารณาและคำนึงถึงปัจจัยหรือองค์ประกอบต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเป้าหมาย
กระบวนการกำหนดนโยบาย และการนำนโยบายไปปฏิบัติ ปัจจัยหรือองค์ประกอบที่สำคัญๆมีหลายประการ
โดยที่นักวิชาการแต่ละคนต่างก็มีทรรศนะแตกต่างกันไป
ในที่นี้ขอยกทรรศะของ เจมส์ โรสเนา (James N.
Rosenau) ที่สรุปปัจจัยต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายต่างประเทศไว้ดังนี้
คือ:
1.ปัจจัยที่เกี่ยวกับลักษณะของผู้กำหนดนโยบาย
2.ปัจจัยที่เกี่ยวกับบทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย
3.ปัจจัยที่เกี่ยวกับระบบราชการ
4.ปัจจัยที่เกี่ยวกับรัฐ
5.ปัจจัยที่เกี่ยวกับระบบการเมืองระหว่างประเทศ
1.ปัจจัยที่เกี่ยวกับลักษณะของผู้กำหนดนโยบาย
ปัจจัยข้อนี้เกี่ยวข้องกับการรู้ ภาพลักษณ์ และบุคลิกลักษณะส่วนตัวของผู้กำหนดนโยบาย
เช่น
ผู้นำที่มีลักษณะอารมณ์ร้อนวู่วามย่อมมีการตัดสินใจแตกต่างจากผู้นำที่มีความสุขุมรอบคอบเยือกเย็น
เป็นต้น ลักษณะทางด้านจิตวิทยาก็ดี
ความเชื่อหรือการยึดถือในอุดมการณ์ต่างๆของผู้นำหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินนโยบายก็ดี
ล้วนแล้วแต่มีผลสืบเนื่องมาถึงการกำหนดนโยบายต่างๆที่คนเหล่านั้นรับผิดชอบหรือต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
แต่การที่จะจัดว่าปัจจัยเหล่านี้เข้ามามีส่วนในการกำหนดนโยบายแต่ละนโยบายมากน้อยเพียงใดนั้นเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่จากการศึกษาของนักวิชาการบางคนก็พบว่าลักษณะประจำตัวของผู้นำหรือผู้มีส่วนในการกำหนดนโยบายมักจะปรากฏออกมาในการกำหนดหรือดำเนินนโยบายต่างประเทศที่บุคคลนั้นๆรับผิดชอบอยู่
2.ปัจจัยที่เกี่ยวกับบทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย
โดยทั่วไปไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่จะเข้ามามีส่วนในการกำหนดนโยบายต่างประเทศนั้น
ต่างก็มีบทบาทที่ตนจะต้องยึดถือแสดงอยู่แล้วทั้งในแง่ที่ถูกกำหนดไว้อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
อย่างเป็นทางการ เช่น
อาจต้องดำเนินบทบาทของตนในฐานะที่เป็นประมุขของรัฐอย่างที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
เป็นต้น ส่วนบทบาทอย่างไม่เป็นทางการ เช่น ความคาดหวังของคนอื่นๆว่าเมื่อบุคคลผู้ใดก็ตามเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้ก็ควรจะต้องมีบทบาทเฉพาะ
เช่น ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายค้านก็ควรจะต้องมีบทบาทอย่างหนึ่ง
ครั้นต่อมาพรรคของตนได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นเสียงข้างมาก
หัวหน้าพรรคนั้นๆก็ต้องเปลี่ยนสถานภาพไปเป็นผู้นำรัฐบาล
เมื่อเป็นดังนี้บทบาทก็ย่อมต้องเปลี่ยนไปจากเดิม
การเปลี่ยนบทบาทยังอาจจะนำสู่การการเปลี่ยนแปลงในการตัดสินใจกำหนดนโยบายต่างประเทศที่ตนเข้าไปมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องด้วยก็ได้
3. ปัจจัยที่เกี่ยวกับระบบราชการ
ปัจจัยข้อนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างและกระบวนการของรัฐและผลของโครงสร้างและกระบวนการที่มีต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ระบบราชการนี้หมายถึง โครงสร้างของหน่วยงานรัฐบาล
กระบวนการดำเนินงานของหน่วยงานทางราชการที่สำคัญๆ
กระบวนการตัดสินใจในระดับต่างๆเพื่อการกำหนดนโยบาย
เทคนิคในการนำเอานโยบายต่างๆไปปฏิบัติ
ทัศนคติของข้าราชการในส่วนที่เกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายต่างประเทศที่มีต่อนโยบายภายในประเทศและต่อสวัสดิการของรัฐโดยทั่วไป
โครงสร้างหรือกระบวนการอันเกี่ยวกับเรื่องของระบบราชการนี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะซับซ้อนมาก
ดังนั้นการจะมองว่าการที่รัฐนำเอานโยบายใดนโยบายหนึ่งออกมาใช้นั้นเป็นผลของการตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผล
เป็นกลุ่มเป็นก้อนรวมกันของคณะบุคคลที่ทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ของรัฐนั้นๆเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
นโยบายส่วนใหญ่ที่รัฐนำมาใช้นั้นมักจะเป็นผลของความขัดแย้งในผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆทั้งทางฝ่ายรัฐบาล
ฝ่ายทหาร และระดับที่ต่ำลงไปอีก กลุ่มเหล่านี้มักจะแข่งขันกันเพื่อประโยชน์ของตน
และจะพยายามเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการตัดสินใจกำหนดนโยบายมากที่สุดเพื่อประโยชน์ของตน
ดังนั้นนโยบายที่ออกมาจึงเป็นผลสรุปของความขัดแย้งของกลุ่มต่างๆ
การศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ 3
นี้ควรจะต้องเป็นการศึกษาแบบเฉพาะเจาะจงลงไปถึงหน่วยงานต่างๆที่เข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
เช่นถ้าจะศึกษานโยบายต่างประเทศของไทยก็จะต้องศึกษาลึกลงไปถึงหน่วยงานต่างๆ เช่น
สภาความมั่นคงแห่งชาติ กอ.รมน. เป็นต้น ไม่ใช่ศึกษานโยบายต่างประเทศของไทยรวมๆกันไป
เพราะในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ทุกระดับขั้นตอนย่อมเข้ามามีบทบาทอิทธิพลอยู่ไม่มากก็น้อย
ในเวลาใดเวลาหนึ่งหรือสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
และในขั้นตอนของการนำไปปฏิบัตินั้น ก็อาจจะมีผลให้นโยบายที่กำหนดไว้แล้วเปลี่ยนแปลงไปได้อีกด้วย
อิทธิพลของระบบราชการที่เข้ามามีผลต่อการกำหนดและดำเนินนโยบายต่างประเทศนั้นเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
แต่ระดับความมากน้อยของอิทธิพลนี้ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับระบบการปกครองที่รัฐนั้นๆยึดถืออยู่ด้วย
เชื่อกันว่า ในรัฐที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย การกำหนดนโยบายต่างประเทศดำเนินไปอย่างค่อนข้างจะเปิดเผยและเปิดโอกาสให้กลุ่มต่างๆ
เช่น พรรคการเมือง กลุ่มกดดัน มติมหาชน
และหน่วยงานต่างๆเข้ามามีส่วนหรือแข่งขันกันเข้ามามีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายได้
ดังนั้นในระบบนี้จะมีกลุ่มต่างๆมากมายเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ในการปกครองตามระบบเผด็จการนั้น
แม้นโยบายต่างประเทศจะมีผลของความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานต่างๆในระบบก็ตาม
แต่ก็เป็นที่ยอมรับว่า ในระบบเผด็จการนั้น การที่กลุ่มอื่นๆ เช่น
กลุ่มผลประโยชน์จะเข้ามามีอำนาจต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศได้น้อยกว่าประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย
ทั้งนี้ก็เพราะว่าระบบราชการถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจรากศูนย์กลาง
การดำเนินนโยบายใดๆก็ตามมักจะทำได้อย่างรวดเร็วก่อนที่ฝ่ายใดจะสามารถเข้าไปมีอิทธิพลได้อย่างจริงจัง
4.ปัจจัยอันเกี่ยวกับชาติ
ปัจจัยข้อนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับปัจจัยที่กำหนดอำนาจของรัฐ
เช่น ปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ
ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งทางด้านภูมิศาสตร์ ขนาด ดินฟ้าอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ
ที่แต่ละชาติมีอยู่ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศ เช่น
รัฐที่มีอาณาเขตติดกับมหาสมุทรสองด้าน อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา
ย่อมได้เปรียบกว่าโปแลนด์ที่มีที่ตั้งอยู่ระหว่างประเทศมหาอำนาจในยุโรปในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ปัจจัยทางด้านประชากรก็มีส่วนสำคัญยิ่งในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นจำนวนประชากร ความหนาแน่นของพลเมือง เพศ วัย สุขภาพอนามัย การศึกษา
ย่อมมีผลถึงการกำหนดนโยบายต่างประเทศของแต่ละประเทศเสมอ
เศรษฐกิจก็มีความสำคัญยิ่งต่อการกำหนดนโยบายของแต่ละรัฐ
ความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ จำนวนผลิตภัณฑ์ประชาชาติรวม
ผลผลิตทางด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี
จำนวนทรัพยากรที่มีอยู่ ต่างเข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ดังจะเห็นได้ว่า รัฐที่มีทรัพยากรสำคัญ เช่น น้ำมัน
ย่อมอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบกว่ารัฐที่ไม่มีน้ำมัน
เพราะน้ำมันสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ หากรัฐขาดน้ำมัน
เศรษฐกิจก็จะหยุดชะงักอยู่กับที่
ดังนั้นรัฐที่มีน้ำมันก็อาจจะอาศัยน้ำมันมาเป็นเครื่องมือในการต่อรองในเวทีการเมืองระหว่างประเทศได้
ดังเช่นที่กลุ่มโอเปค (OPEC) กระทำได้สำเร็จ
และทำให้ประเทศในกลุ่มนี้มีสิทธิ์มีเสียงเพิ่มมากขึ้นในเวทีการเมืองโลก
ระบบการเมือง เศรษฐกิจ
และสังคมของแต่ละประเทศก็มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ เช่น
เชื่อว่าในระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ที่มีการควบคุมทางด้านเศรษฐกิจจากศูนย์กลางนั้น
มักจะสามารถกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ต่อทางด้านการเมืองได้เสมอ
ในขณะที่ประเทศทุนนิยมจะนำเอานโยบายทางเศรษฐกิจมาใช้เพื่อประโยชน์ทางด้านการเมือง
หรือเพื่อประโยชน์ของรัฐโดยเฉพาะมักเป็นไปได้ยาก
เพราะว่าเอกชนได้เข้ามามีส่วนในการควบคุมเศรษฐกิจของรัฐเป็นอย่างมาก
และเอกชนมักจะพยายามเข้ามามีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐในทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากกว่าต่อรัฐ
ส่วนทางด้านสังคมนั้น หากสังคมใดมีความไม่เท่าเทียมกันของคนในสังคมมาก
สังคมก็มีแนวโน้มที่จะแตกแยก ความสามัคคีในชาติมีน้อย
ทำให้กลายเป็นจุดอ่อนในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
เพราะการที่รัฐจะกำหนดนโยบายใดๆลงไปก็อาจจะไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนอย่างเต็มที่
การศึกษา ภาษา ศาสนา สีผิว เผ่าพันธุ์ วัฒนธรรม สถานภาพทางสังคม การกระจายรายได้
ล้วนเข้ามามีผลต่อการกำหนดนโยบายทั้งสิ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น
ในดินแดนทางภาคใต้ของประเทศไทยมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ดังนั้นการที่รัฐจะกำหนดนโยบายใดๆก็ตาม รัฐจะต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงนี้อยู่เสมอ
ความเป็นมาทางด้านประวัติศาสตร์ ภาพพจน์ ลักษณะประจำชาติ อุดมการณ์
คุณภาพของรัฐบาล เข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายต่างประเทศเช่นกัน เช่น
การที่ญี่ปุ่นได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่สองอย่างใหญ่หลวง
ย่อมทำให้คนญี่ปุ่นมีความทรงจำเกี่ยวกับภัยพิบัติอันเกิดจากสงครามได้เป็นอย่างดี
จนชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากไม่ต้องการให้ประเทศของตนเข้าร่วมในการแข่งขันทางอาวุธกับชาติอื่นๆอีก
5.ปัจจัยอันเกิดจากระบบ
คำว่า ระบบนี้ หมายถึง ระบบระหว่างประเทศ เช่น ระบบดุลอำนาจ
ระบบสองขั้วอำนาจ หรือระบบหลายขั้วอำนาจ เป็นต้น
ระบบเหล่านี้ย่อมมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐ เช่น
กรณีของไทยในระหว่างสงครามเย็น ไทยดำเนินนโยบายผูกพันกับสหรัฐอเมริกามาก
ครั้นระบบระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ
สภาพสงครามเย็นกลายไปเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด
ไทยก็หันไปใช้นโยบายผูกมิตรกับจีนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน เป็นต้น
ปัจจัยอันเกิดจากระบบนี้ยังรวมไปถึงนโยบายและพฤติกรรมของรัฐอื่นๆที่เข้ามามีผลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐอีกรัฐหนึ่ง
เพราะรัฐนี้จะต้องกำหนดนโยบายเพื่อตอบสนองต่อนโยบาย
หรือพฤติกรรมของรัฐอื่นๆเหล่านั้น
ทั้งนี้เพราะนโยบายต่างประเทศเป็นการตอบสนองต่อโอกาสหรือการท้าทายที่มีมาจากภายนอก
เมื่อเป็นดังนี้
นโยบายและพฤติกรรมของรัฐอื่นย่อมต้องเข้ามามีส่วนในการกำหนดนโยบายของรัฐนั้นๆด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น องค์การระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ
ระบบพันธมิตร การพึ่งพาหรือพึ่งพิงระหว่างประเทศ
ล้วนจัดอยู่ในปัจจัยที่เรียกว่าระบบนี้
ปัจจัยทางด้านระบบระว่างประเทศมีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของรัฐ
ก็เพราะ ประการแรก
เป็นปัจจัยที่มีส่วนกระทบกระเทือนต่อฐานะของรัฐในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
ประการที่สอง เป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือขีดความสามารถในการควบคุมของรัฐ
ดังนั้นผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศต้องนำปัจจัยอันเกี่ยวกับระบบระหว่างประเทศมาวิเคราะห์และประเมินอยู่เสมอเพื่อกำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุดและเป็นประโยชน์มากที่สุดต่อรัฐของตน
ปัจจัยต่างๆที่ 5
ประการนี้มีส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของรัฐ
ทั้งนี้เพราะปัจจัยเหล่านี้สามารถกำหนดฐานะบทบาทและขีดความสามารถของรัฐในเวทีการเมืองระหว่างประเทศได้
แหล่งข้อมูล : เอกสารการสอนชุดวิชา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
โดย พระ จันทร์ธู แปต / อุทฺธํธมฺโม

Hotel Wyndham Las Vegas - Mapyro
ตอบลบHotel Wyndham Las Vegas. 제천 출장안마 Hotel Wyndham Las Vegas. 정읍 출장마사지 3131 Las Vegas 문경 출장안마 Blvd S. South. Las Vegas, 김해 출장샵 NV 89109. 광주 출장안마 Phone: 702.693.7117. Website: www.wyndhamlasvegas.com.