บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศ




รัฐ คือตัวแสดงสำคัญที่กำหนดนโยบายต่างประเทศ ในทางปฏิบัติจะมีปัจจัยต่างๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายของรัฐอยู่มิใช่น้อย สิ่งที่พึงตระหนักก็คือ รัฐ(รัฐบาล) จะต้องกำหนดนโยบายต่างประเทศให้สอดคล้องกับ ผลประโยชน์แห่งชาติ มากที่สุด มีความเสี่ยงน้อยที่สุด นำไปปฏิบัติได้ง่ายที่สุดและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในแต่ละขณะมากที่สุด ดังนั้น โดยธรรมชาตินโยบายต่างประเทศของรัฐควรมีลักษณะที่ยืดหยุ่นเพื่อสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศได้ใหม่ หากสถานการณ์หรือปัจจัยแวดล้อมต่างๆเปลี่ยนแปลงไป

การกำหนดนโยบายต่างประเทศของแต่ละรัฐนั้นจะมีกระบวนการแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระบอบการเมืองการปกครอง ความแตกต่างในลัทธิอุดมการณ์ และในบางครั้งรัฐบาลต่างคณะกันในรัฐเดียวกันนั้นเอง ก็อาจใช้กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศแตกต่างกันไปด้วย

ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เช่น ระบบรัฐสภาของอังกฤษ กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศมักจะต้องเป็นไปตามแนวทางที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ คณะรัฐมนตรีจะเป็นองค์กรสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ ในทางปฏิบัติ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกลาโหม(ในบางกรณีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางการเมืองและการทหาร) จะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการรวบรวมข้อมูลและทางเลือกต่างๆให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้วินิจฉัยตัดสินใจ นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะรัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายต่างประเทศทั้งปวงที่ได้ตัดสินใจกำหนดขึ้นโดยคณะรัฐมนตรี การตัดสินใจของฝ่ายรัฐบาลโดยทั่วไปนั้นจะถูกตรวจสอบโดยรัฐสภา(Parliament) อยู่เสมอ โยการตั้งกระทู้ถามและวิจารณ์นโยบายเหล่านั้น ในทางปฏิบัติ หากรัฐบาลมาจากเสียงข้างมากในสภา นโยบายต่างประเทศนั้นก็จะได้รับการยอมรับสนับสนุน ในทางตรงกันข้าม หากฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ นโยบายต่างประเทศนั้นก็ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ ในบางกรณีถึงกับทำให้คณะรัฐมนตรีอาจต้องลาออกจากตำแหน่ง  ในกระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย ก็จะเป็นไปในทำนองเดียวกันนี้ เพราะประเทศไทยอยู่ระบบรัฐสภาเช่นเดียวกับอังกฤษ

ส่วนในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้น การที่รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้การใช้อำนาจของสถาบันนิติบัญญัติ(สภาคองเกรส) กับสถาบันฝ่ายบริหาร(ประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรี) แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดนั้น ประธานาธิบดีโดยรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ(Secretary of State) และคณะผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านของประธานาธิบดี(The White House Staff) จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ ทั้งนี้ประธานาธิบดีแต่ผู้เดียว หรือประธานาธิบดีโดยความเห็นชอบของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Council) จะเป็นผู้ตัดสินกำหนดนโยบายขั้นสุดท้าย เมื่อกำหนดเป็นนโยบายได้แล้ว ประธานาธิบดีและฝ่ายบริหารสามารถนำนโยบายนั้นไปปฏิบัติได้ทันที อย่างไรก็ดี ในกรณีที่นโยบายต่างประเทศนั้นจำเป็นต้อง ขออนุมัติงบประมาณ จากสภาคองเกรสเพื่อการดำเนินงานแล้ว สถาบันนิติบัญญัติจะเข้าตรวจสอบและเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายต่างประเทศนั้นๆได้ โดยสภาคองเกรสอาจไม่อนุมัติงบประมาณเพื่อการนั้น หรืออาจตัดทอนแผนงาน/โครงการและงบประมาณนั้นบางส่วนลงได้ ดังจะเห็นได้ว่าสภาคองเกรสได้ตัดงบประมาณสำหรับโครงการช่วยเหลือต่างประเทศปีละหลายโครงการ เป็นต้น

กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศในประเทศที่มีระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น รัฐสภาหรือสภาคองเกรสสามารถเข้ามามีส่วนร่วมตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ในทางปฏิบัติ บทบาทของสถาบันที่มิใช่องค์การฝ่ายรัฐ เช่น สื่อมวลชน กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ มติมหาชน และนักวิชาการ ก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ โดยการเสนอแนะและวิพากษ์วิจารณ์ในด้านต่างๆ ในบางกรณี มติมหาชน และการเรียกร้องของกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มมีส่วนทำให้รัฐบาลต้องปรับปรุงหรือยกเลิกนโยบายต่างประเทศนั้นได้ ดังตัวอย่าง ในปี ค.ศ. 1975 เป็นต้นมาที่ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องเลิกเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสงครามอินโดจีน โดยสภาคองเกรสไม่สนับสนุนด้านงบประมาณ อันเป็นผลมาจากการเดินขบวนประท้วงที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

ในระบอบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จนิยม เช่น อดีตสหภาพโซเวียต และสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น มีกระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศที่แตกต่างไปจากประเทศประชาธิปไตย โดยหลักสำคัญก็คือ ในระบอบคอมมิวนิสต์จะมีพรรคการเมืองที่ครองอำนาจเพียงพรรคเดียวเท่านั้น คือพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นพรรคที่ครองอำนาจการเมืองโดยสมบูรณ์ พรรคคอมมิวนิสต์จึงเป็นองค์กรที่กำหนดแนวนโยบายต่างประเทศตามที่เห็นสมควร ในทางปฏิบัติ แต่เดิมอำนาจทางการเมืองมีลักษณะรวมศูนย์ที่เลขาธิการพรรค ดังเช่นในสมัยสตาลิน(Stalin) ต่อมาอำนาจทางการเมืองได้เปลี่ยนแปลงในลักษณะ ผู้นำร่วม”(collective leadership) การตัดสินใจกำหนดนโยบายทางการเมืองจึงอยู่ในมือขององค์กรต่างๆของพรรค เช่น คณะกรามการกลางพรรคคอมมิวนิสต์(Central Committee) ดังจะเห็นได้จากสมัยนายครุสชอฟ (Khrushchev) อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศของอดีตสหภาพโซเวียตนั้น ในทางปฏิบัติมีลักษณะร่วมกันระหว่างองค์กรต่างๆของพรรคคอมมิวนิสต์ กับเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายใดจะมีอำนาจและอิทธิพลมากกว่ากัน การกำหนดนโยบายต่างประเทศในระบอบการเมืองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จนิยมนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จะเป็นผู้กำหนดนโยบายให้ระดับสูงสุด ส่วนองค์การฝ่ายรัฐบาล เช่น รัฐมนตรีต่างประเทศจะทำหน้าที่เพียงผู้ที่นำนโยบายไปปฏิบัติเท่านั้น

ในระบอบการเมืองการปกครองแบบอำนาจนิยม  เช่น ประเทศที่กำลังพัฒนาโดยทั่วไป ได้แก่ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย เป็นต้น ข้าราชการ/ข้ารัฐการประจำระดับสูงจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ  โดยหลักการ  ข้าราชการ/ข้ารัฐการประจำสังกัดกระทรวงการต่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการรวบรวมข้อมูลและเสนอทางเลือกให้ฝ่ายรัฐบาลทำการตัดสินใจและกำหนดนโยบาย

สำหรับในกรณีของประเทศไทยนั้น รัฐบาลจะทำหน้าที่เป็นองค์กรสูงสุดในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ ทั้งนี้ในทางปฏิบัติ กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศมิได้เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศเพียงองค์กรเดียว แต่ได้มีองค์กรต่างๆเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาความมั่นคงแห่งชาติ(ซึ่งทำหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษาของรัฐบาลในการกำหนดนโยบายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งนโยบายต่างประเทศด้วย) ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายกิจการต่างประเทศ คณะกรรมาธิการฝ่ายต่างประเทศประจำรัฐสภา และกรมประมวลข่าวกลาง เป็นต้น

กล่าวโดยสรุป กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศของรัฐต่างๆย่อมแตกต่างกันไปตามประเภทของระบอบการเมืองการปกครองและความจำเป็นในทางประวัติศาสตร์ที่เป็นมาของรัฐนั้นๆ โดยประเด็นสำคัญก็คือ ไม่ว่ากระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศจะเป็นเช่นใดก็ตาม นโยบายต่างประเทศจะต้องมีเป้าหมายเพื่อการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติมากที่สุด มีความเสี่ยงในการนำไปปฏิบัติน้อยที่สุดและสอดคล้องกับความเป็นจริงทางการเมืองระหว่างประเทศในแต่ละขณะให้มากที่สุด


แหล่งข้อมูล : เอกสารการสอนชุดวิชา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
จัดทำโดย พระ จันทร์ธู แปต / อุทฺธํธมฺโม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น