ปัจจัยภายในประเทศของไทยที่เป็นตัวกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยมีหลายประการได้แก่
1.ศักยภาพของรัฐ
ศักยภาพของรัฐหมายถึงอำนาจและความสามารถของรัฐที่จะดำเนินการใดๆตามนโยบายเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
สำหรับประเทศไทยนั้น ศักยภาพของรัฐประกอบด้วย
1.1 สภาพภูมิศาสตร์ของไทย
การที่อาณาจักรไทยตั้งอยู่ใจกลางแหลมสุวรรณภูมิและติดต่อกับอาณาจักรที่อ่อนแอกว่าอย่างล้านนาด้านเหนือ
ล้านช้างด้านตะวันออกเฉียงเหนือ กัมพูชาด้านตะวันออก มอญด้านตะวันตก
และมลายูด้านใต้ มำให้ไทยมีศักยภาพสูงในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
แต่เมื่อใดที่อาณาจักรพม่าและอาณาจักรญวนเข้มแข็งและขยายอำนาจเข้ามาครอบครองอาณาจักรเหล่านี้จนมีอิทธิพลประชิดดินแดนอาณาจักรไทย
ความมั่นคงของอาณาจักรไทยก็ถูกคุกคาม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
แนวคิดเกี่ยวกับภูมิศาสตร์มีความสำคัญอย่างมากต่อการศึกษาการเมืองระหว่างประเทศ
นักภูมิรัฐศาสตร์ในสมัยนั้นเชื่อว่าที่ตั้ง ขนาด รูปร่าง ลักษณะ และ ทรัพยากรธรรมชาติชองรัฐ
เป็นปัจจัยสำคัญต่อความเป็นมหาอำนาจของรัฐ
ประเทศต่างๆจึงมุ่งดำเนินนโยบายสร้างความยิ่งใหญ่โดยทำสงครามขยายดินแดน
ดังเช่นนโยบายต่างประเทศของจอมพล ป. พิบูลสงครามที่จะสร้างให้ไทยเป็นมหาอำนาจ
โดยขยายดินแดนรวมชนเผ่าไทยทั้งหลายที่อาศัยอยู่รอบๆราชอาณาจักรทั้งในลาว พม่า
กัมพูชา และมลายู เป็นต้น
ในปัจจุบันสภาพภูมิศาสตร์ของไทยมีที่ตั้ง
อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีขนาดของรัฐ 514,000 ตารางกิโลเมตร มีรูปร่างยาวเป็นผืนแผ่นเดียวกันทั้งประเทศ
มีลักษณะภูมิประเทศ ภาคเหนือเป็นเทือกเขาสลับกับแอ่งหุบเขา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ราบสูง ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่ม
ภาคตะวันออกเป็นทิวเขาสลับเนินเขา ภาคตะวันตกเป็นเขาสูง
ภาคใต้มีเขาสูงเป็นแกนกลางลาดลงสู่ชายฝั่งตะวันตกและชายฝั่งตะวันออก
1.2 ทรัพยากรธรรมชาติ
ในปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ดังนั้นทรัพยากรการเกษตรจึงสำคัญที่สุด ซึ่งได้แก่ ข้าว ยางพารา ไม้สัก มันสัมปะหลัง
ข้าวโพด อ้อย น้ำมันปาล์ม ผลไม้ต่างๆ ปศุสัตว์ ไก่ และอาหารทะเล
ทรัพยากรแร่ธาตที่สำคัญคือดีบุกซึ่งเหลือน้อยแล้ว ส่วนทรัพยากรเชื้อเพลิงก็มีก๊าซธรรมชาติซึ่งน้อยมาก
ไทยจึงหวังพึงทรัพยากรธรรมชาติเพื่อสร้างศักยภาพของชาติได้อีกไม่นานนัก
ต้องแสวงหาสิ่งอื่นมาทดแทนเพื่อประกันความมั่นคงและส่งเสริมความสามารถในการพัฒนาประเทศ
อาทิ อุตสาหกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่ทางเกษตรตกรรม และธุรกิจบริการ เป็นต้น
1.3 ทรัพยากรมนุษย์
คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นปกครองหรือประชาชนทั่วไป
ในสมัยโบราณไพร่เป็นแรงงานหลักของประเทศ การสร้างบ้านแปงเมือง การทำการเกษตร
การทำศึกสงคราม ต้องอาศัยไพร่ป็นสำคัญ
ถ้ามีประชากรมากก็จะมีผลผลิตด้านการเกษตรมากและมีกำลังรบมาก
ดังนั้นการแผ่ขยายอำนาจสร้างอาณาจักรใหญ่โตจึงเป็นนโยบายสำคัญในการได้กำลังคน
เมื่อได้ชัยชนะในสงครามก็สามารถกวาดต้อนเชลยมาเป็นทาสใช้แรงงาน
และในยามศึกก็สามารถสั่งการให้ประเทศราขส่งกำลังมาช่วยรบ
นอกจากนั้นยังมีการส่งเสริมให้ชนต่างชาติอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในราชอาณาจักรเพื่อเพิ่มพลเมืองด้วย
ในปัจจุบันจำนวนประชากรไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพของประชากร
ในระบอบประชาธิปไตยในประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
มีส่วนร่วมในการปกครองและตัดสินใจในกิจการของชาติ
มีบทบาทในการพัฒนาประเทศ มีศิลปวิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆที่ต้องเรียนรู้
ดังนั้นประชากรไทยที่มีคุณภาพและมีการศึกษาดีจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
2.ศักยภาพของรัฐบาล
อำนาจหรือความสามารถของรัฐบาลในการดำเนินงานบริหารประเทศมีความสำคัญยิ่งต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ซึ่งองค์ประกอบของรัฐบาลที่สำคัญได้แก่
2.1 ผู้นำรัฐบาล ตำแหน่งหน้าที่ของผู้นำในสมัยราชาธิปไตยนั้น
ฐานะของพระมหากษัตริย์ทรงเป็นทั้งประมุขของประเทศและหัวหน้ารัฐบาล
ทำให้มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบายต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว
ต่อมาในสมัยเผด็จการทหารหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อำนาจเด็ดขาดก็อยู่ในมือของนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าคณะรัฐประหาร
แต่ในระบอบประชาธิปไตยนั้น การดำเนินการมักรับฟังเสียงของประชาชน
มีการปรึกษาหารือในคณะรัฐมนตรีและนำเสนอต่อรัฐสภา
บุคลิกภาพของผู้นำก็มีผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศเช่นกัน เช่น
บุคลิกที่แข็งกร้าวของนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารทำให้รัฐบาลแข็งกร้าวไปด้วย เช่นในสมัยของจอพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ ไทยและสหรัฐอเมริกาเพียง 2
ประเทศที่เสนอองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียอาคเนย์(ส.ป.อ.)
ให้ส่งทหารเข้าแทรกแซงลาวโดยตรงในการต่อสู่กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ใน พ.ศ. 2503 แต่ประเทศสมาชิกอื่นๆที่เหลือคัดค้าน เพราะไม่ต้องการให้ลาวกลายเป็นสมรภูมิที่รุนแรงเหมือนเวียดนาม
เป็นต้น
ภูมิหลังและประสบการณ์ของผู้นำรัฐบาลก็มีผลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศเช่นกัน
เช่นการที่นายอานันท์
ปันยารชุนเคยดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศและเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกามาก่อน
ทำให้มีความชำนาญในเรื่องการต่างประเทศ
เมื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ
แม้จะเป็นผู้นำของรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารโดยทหาร
ซึ่งช่วยให้ประเทศไทยยังมีเกียรติภูมิและติดต่อกับประเทศที่ต่อต้านระบบเผด็จการได้
เป็นต้น
2.2 รัฐบาล โครงสร้างของรัฐบาลที่ประกอบด้วยบุคคลต่างๆก็มีส่วนในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
เช่น รัฐบาลทหารสมัยจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรีที่มาจากนายทหารและอดีตนายทหารมากมาย
ดังนั้นนโยบายต่างประเทศจึงเน้นหนักในด้านการทหารและความมั่นคงและเอาทหารนำการเมือง
ส่วนรัฐบาลสมัยนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชิตวัตรนั้น
คณะรัฐมนตรีเกือบทั้งหมดเป็นนักธุรกิจจึงทำให้นโยบายต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นเรื่องด้านเศรษฐกิจและการค้า
การร่วมมือกับต่างประเทศด้านความมั่นคงก็เพื่อสร้างลู่ทางด้านการค้า
นั่นคือเศรษฐกิจนำการเมืองและการทหาร
3.การเมืองภายในประเทศ
การเมืองภายในประเทศที่มีต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยมี 2 ประเด็นสำคัญ คือ
3.1 ระบบการเมือง
ในสมัยที่ไทยมีระบบการเมืองเป็นแบบเผด็จการ
นโยบายต่างประเทศก็มักจะแข็งกร้าวและเป็นการเผชิญหน้ากับต่างประเทศ เช่น
รัฐบาลทหารตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาจนถึงจอมพลถนอม กิตติขจร
ต่างก็มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเต็มที่
มองสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆเป็นศัตรู
ไม่ยอมติดต่อสัมพันธ์ด้วย แต่สมัยที่เป็นประชาธิปไตย เช่น รัฐบาลพลเรือนของ ดร.ปรีดี
พนมยงค์ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายชวน หลีกภัย พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร
และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นโยบายต่างประเทศจะยืดหยุ่น
มุ่งสร้างมิตรภาพและความปรองดองกับทุกประเททศ ไม่ว่าจะมีระบบการเมืองแบบใด
โดยมุ่งส่งเสริมผลประโยชน์แห่งชาติ ความมั่นคงและสันติภาพระหว่างประเทศเป็นสำคัญ
3.2 สถานการณ์การเมือง บรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศของไทยมีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2457
ได้เกิดสงครามครามโลกครั้งที่ 1
พระองค์ทรงได้รับการศึกษามาจากอังกฤษ
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ก่อนๆก็ทรงใกล้ชิดกับอังกฤษ รัฐบาลไทยจึงน่าจะเข้าสงครามโดยเข้าข้างฝ่ายพันธมิตรที่มีอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นผู้นำ
แต่บรรยากาศภายในประเทศขณะนั้น
ประชาชนเกลียดชังอังกฤษและฝรั่งเศสมากที่ได้ยึดครองดินแดนประเทศราชของไทยไป และเอารัดเอาเปรียบไทยด้านการภาษีกับเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางการศาล
ส่วนเยอรมนีไม่เคยทำความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ไทย
บริษัทเยอรมนีเข้ามาสร้างทางรถไฟสายเหนือและสิ่งสาธารณูปโภคต่างๆให้ไทย
สินค้าอุตสาหกรรมเยอรมันส่งมาจำหน่ายในไทยมากมาย มีคุณภาพดีเป็นที่ชื่นชอบของคนไทย
ประชาชนจึงชื่นชมเยอรมนีที่ทำสงครามกับอังกฤษและฝรั่งเศส
ทั้งยังเอาใจช่วยให้เยอรมนีชนะสงคราม
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องมีนโยบายต่างประเทศเป็นกลางไปจนกระทั่งปลายสงครามใน
พ.ศ. 2461
เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามเป็นฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศส
และเยอรมนีมีทีท่าจะแพ้สงครามแน่นอนแล้ว จึงทรงประกาศสงครามกับเยอรมนี
4.เศรษฐกิจภายในประเทศ
เศรษฐกิจภายในประเทศที่มีผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยมี 2 ประเด็นสำคัญ คือ
4.1 ระบบเศรษฐกิจ ในสมัยโบราณระบบเศรษฐกิจของไทยเป็นแบบผูกขาดโดยพระคลังสินค้า
ทางราชการมีอำนาจสิทธิขาดแต่ผู้เดียวในการวางระเบียบการค้าและภาษี
นับตั้งแต่ทำสนธิสัญญาเบาริงกับอังกฤษใน พ.ศ. 2398
ระบบเศรษฐกิจของไทยเป็นแบบทุนนิยมเสรี
ซึ่งทำให้มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ต่อมาในสมัยจอมพล ป.
พิบูลสงครามซึ่งมีนโยบายชาตินิยม ได้มีการส่งเสริมการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจมากมาย
แต่เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ขึ้นสู่อำนาจใน พ.ศ. 2500
ก็ได้กลับไปใช้ระบบทุนเสรีที่ส่งเสริมการประกอบการและการลงทุนโดยเอกชนอย่างเต็มที่
ตามความต้องการของสหรัฐอเมริกา
รัฐบาลได้ประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ระหว่าง พ.ศ. 2504-2509
เพื่อกำนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศรองรับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี
มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจมามาย
นโยบายดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศทุนนิยมในค่ายโลกเสรีขยายตัวมากขึ้นในช่วงสงครามเย็น
ในขณะเดียวกันก็มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจน้อยมากกับกลุ่มประเทศสังคมนิยม
4.2 สถานการณ์เศรษฐกิจ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ไทยอยู่ในฐานะผู้แพ้สงครามเพราะเป็นฝ่ายอักษะ
ฐานะทางเศรษฐกิจยังล้าหลังเหมือนประเทศด้อยพัฒนาทั่วไป
ในขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาได้ยื่นมือเข้ามาช่วยพัฒนาเศรษฐกิจแก่ประเทศต่างๆเพื่อส่งเสริมระบบทุนนิยมไว้ต่อต้านและสกัดกั้นการขยายตัวของฝ่ายคอมมิวนิสต์
ไทยจึงยินดีรับความช่วยเหลือและเริ่มมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาตั้งแต่นั้นมา
สหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือไทยในด้านเกษตร คมนาคม สาธารณสุข
การศึกษา ด้านเทคโนโลยี คลอดจนการทหาร โดยผ่านทางข้อตกลงต่างๆ
ความช่วยเหลือมีทั้งในรูปของเงินให้เปล่า เงินกู้
การส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยฝึกอบรมและพัฒนาเทคโนโลยี
บรรยากาศที่ดีทางเศรษฐกิจของไทย
ได้ดึงดูดให้ประเทศต่างๆมาติดต่อการค้าและการลงทุนในประเทศไทยนับตั้งแต่การมีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดเสรี
การมีข้อระเบียบทางการค้าที่เอื้ออำนวย
การมีโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสาธารณูปโภคที่ดี การมีแหล่งวัตถุกดิบ แรงงาน
และประเทศพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ทำให้รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นจนมีกำลังซื้อสูง
หลังยุคการพึ่งพาสหรัฐอเมริกาทางเศรษฐกิจของไทยแล้ว
ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับไทยมากขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง
ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงที่สุดในทศวรรษ 2350 คือ กว่าร้อยละ 50 ของการลงทุนจากต่างประเทศ
และมูลค่าสินค้าเข้าจากญี่ปุ่นก็มากที่สุด ส่วนตลาดสินค้าออกที่ใหญ่ที่สุดของไทยคือสหรัฐอเมริกา
5.สังคมภายในประเทศ
สังคมภายในประเทศที่มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยมี 2 ประเด็นสำคัญ คือ
5.1 ระบบสังคม
แม้สังคมไทยจะเป็นสังคมที่ปิดกั้นทางการเมือง
คือเป็นสังคมที่แบ่งชนชั้นและกีดกันสิทธิเสรีภาพของคนมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่สังคมไทยเป็นสังคมเปิดในลักษณะที่เป็นพหุนิยมทางสังคม
คือมีการยอมรับความหลากหลายทางเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม และศาสนาของพลเมือง
ในสมัยปัจจุบันระบบพหุนิยมทางสังคมของไทยก็ยังเหมือนในอดีต
ทำให้ชาวต่างประเทศมีความรู้สึกที่ดีต่อสังคมไทยและคนไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนไทยเป็นจำนวนมากเพราะชื่นชอบในอัธยาศัยไมตรีของคนไทย
และการแลกเปลี่ยนความร่วมมือทางวัฒนธรรมและวิชาการจึงเป็นไปอย่างกว้างขวาง
อันขยายผลไปถึงความสัมพันธ์อันดีทางการเมืองและเศรษฐกิจด้วย
5.2 บรรยากาศทางสังคม
คนไทยโดยทั่วไปไม่มีความเกลียดชังชาวญี่ปุ่นเหมือนกับชาวเอเชียอื่นๆ เช่น จีน
เกาหลี ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยเข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะจึงไม่ถูกรุกราน กดขี่
ทำลายล้างโดยกองทัพญี่ปุ่น ความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อญี่ปุ่นกลับเป็นไปในด้านดี
เช่น ยกย่องความสามารถด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่น เป็นต้น
คนไทยส่วนใหญ่ นับตั้งแต่ชนชั้นปกครองลงมาจนถึงประชาชนทัวไป
มักนิยมชมชอบสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ทั้งนี้เนื่องจากที่ปรึกษาราชการแผ่นดินชาวอเมริกันหลายคนได้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยไว้มาก
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
สหรัฐอเมริกาก็ไม่ถือว่าไทยเป็นศัตรูผู้แพ้สงครามและไม่รับรู้การประกาศสงครามที่ไทยได้ทำกับสหรัฐอเมริกา
แต่กลับมาช่วยไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ดังนั้นเมื่อเกิดสงครามเวียดนามแล้วสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาตั้งฐานทัพในไทย
คนไทยส่วนใหญ่จึงไม่รังเกียจและทหารสหรัฐอเมริกาสามารถปฏิบัติงานได้อย่างไม่มีข้อขัดแย้งตลอดสงคราม
จนกะทั่งมีการเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาถอนทัพออกไปใน พ.ศ. 2518 เมื่อสถานการณ์ในอินโดจีนเปลี่ยแปลงไป
จัดทำโดย พระ จันทร์ธู แปต/ อุทฺธํธมฺโม


